top of page

Norway

นอร์เวย์

นอร์เวย์ ประเทศในฝันของนักล่าแสงเหนือ และนักผจญภัยหลายๆ คนที่อยากไปชมธรรมชาติสุดมหัศจรรย์ด้วยตาตัวเอง นอกเหนือจากนั้นแล้ว นอร์เวย์ยังมีบ้านเมืองที่สวยงาม ผสานสถาปัตยกรรมเก่าแก่และสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี และมี มรดกโลก อยู่หลายแห่ง ถ้าพร้อมแล้ว ตามเรามาที่ 12 ที่เที่ยวนอร์เวย์ เยือน เมืองสวย และ ที่เที่ยวธรรมชาติ สุดอลังการด้วยกันค่ะ รับรองคุ้มค่าตั๋วแน่นอน

เมืองออสโล.jpg

เมืองออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ ศูนย์รวมความเจริญทางเศรษฐกิจ แหล่งประวัติศาสตร์ และศิลปะวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบเก่าและแบบใหม่ตั้งอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว และเป็นระเบียบเรียบร้อย การดูแลเอาใจใส่ในสิ่งแวดล้อม และควบคุมเรื่องมลภาวะอย่างเคร่งครัดทำให้ออสโลถูกขนานนามให้เป็น "ปอดของยุโรป" อีกทั้งยังมี สนามบิน Oslo Gardermoen Airport ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น The World’s Greenest Aiport หรือ สนามบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดด้วยค่ะ

สวน Vigeland Sculpture Park.jpg

หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองกรุงออสโลที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวมากที่สุด คงไม่มีใครไม่นึกถึง สวน Vigeland Sculpture Park ซึ่งนอกจากจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองออสโลแล้ว สวนแห่งนี้ ยังเป็นสวนประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (The world’s largest sculpture park) อีกด้วย  สวน Vigeland Sculpture เมืองออสโล ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยาน Frogner ซึ่งเป็นพื้นที่สวนสีเขียวบริเวณเขตที่อยู่ Frogner แหล่งรวมร้านค้าระดับไฮเอนด์ ร้านอาหารหรู และ อพาร์ตเมนต์ราคาแพงของเมืองออสโลนั่นเอง ซึ่งจุดเด่นของสวนแห่งนี้ อยู่ที่ประติมากรรมการแกะสลักรูปเหมือนจากหินแกรนิต ที่ถูกจัดแสดงไว้ ณ กลางสวนกว่า 200 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างเป็นผลงานของศิลปินชื่อดังของประเทศนอร์เวย์อย่างคุณ ‘Gustav Vigeland’ ทั้งสิ้น

ป้อมปราการ - Copy (2).jpg

สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองออสโลอีกแห่งที่พลาดไม่ได้นั้น ได้แก่ ปราสาท และ ป้อมปราการ  Akershus Fortress (ป้อมปราการอาเกิชฮืส) ซึ่งปราสาทแห่งนี้ ล้อมรอบไปด้วยป้อมปราการตลอดแนวชายฝั่ง ตั้งอยู่ติดกับทะเล อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง Royal Palace อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงออสโลนั่นเอง

ถนน Karl Johans gate - Copy (2).jpg

หากถามว่าถนนสายไหนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของเมืองออสโลก็ว่าได้ เราขอยกให้

ถนน Karl Johans gate ซึ่งเป็นถนนที่ลากยาวตั้งแต่สถานีรถไฟ Central Station (ตั้งอยู่สุดตะวันตกของเมืองออสโล) จนถึงพระราชวัง Royal Palace (ตั้งอยู่สุดตะวันออกของเมืองออสโล)เลยทีเดียว ถนนเส้นนี้ถือเป็นถนนเส้นที่สำคัญที่สุดของกรุงออสโล เต็มไปด้วยสีสันของร้านค้า และ ความครึกครื้นของผู้คนตลอดทั้งวัน ตั้งแต่กลางวัน จนถึงตอนกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณมาเยือนออสโลในช่วงเทศกาลคริสมาร์ต ถนนทั้งเส้น จะเต็มไปด้วยไฟประดับตกแต่งอย่างสวยาม ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางโลกในเทพนิยายอย่างไงอย่างนั้น

พระราชวัง Royal Palace - Copy.jpg

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงถนน Karl Johans gate แล้ว จะไม่พูดถึงพระราชวัง Royal Palace คงจะไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากพระราชวังแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่สุดขอบของถนน Karl Johans gate ซึ่งหากเรามองจากบนตัววัง เราก็จะสามารถเห็นถนน Karl Johans gate ได้ทั้งเส้นอีกด้วย วัง Royal Palace เป็นวังประจำเมืองออสโล มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกที่ดูเรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่ อยน่างไรก็๖าม เนื่องจากพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์นอร์เวย์จริงๆ ดังนั้นจึงเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้แค่ในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น

พิพิธภัณฑ์ Munch Museum.jpg

พิพิธภัณฑ์ Munch Museum เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ 2008 ตั้งอยู่บริเวณริมน้ำของเมืองออสโล ภายในได้รวบรวมผลงานศิลปะของศิลปินนอร์เวย์ชื่อดังที่ชื่อว่า ‘Edvard Munch’ และ ศิลปินท่านอื่นอีกหลายท่านที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่งานศิลปะของเขา นอกจากผลงานศิลปะแล้ว ตึกพิพิธภัณฑ์ Munch Museum ยังมีรูปทรงที่แตกต่างจากตึกรอบข้างในเมืองออสโล สร้างความสะดุดตาให้แก่ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาพอสมควร ตัวอาคารหุ้มด้วยแผงอะลูมิเนียมรีไซเคิล มีช่องระหว่างกลาง สามารถมองเห็นด้านในอาคารได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้บริเวณด้านบน จะมีลักษณะเอนลงมาด้านหน้าเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการออกแบบโดยการใช้เทคโนโลยี และ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

อมหาวิหารออสโล.jpg

อมหาวิหารออสโล เป็นโบสถ์คู่บ้านคู่เมืองประจำเมืองออสโลมาตั้งแต่ ค.ศ 1697 และถึงแม้ว่าโบสถ์แห่งนี้ จะถูกบูรณะสถานทั้งภายนอก และ ภายในมาหลายครั้ง เพื่อผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และ สถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิคเข้าไป แต่โบสถ์แห่งนี้ยังคงส่งกลิ่นอายสถาปัตคยกรรมสไตล์ Baroque (บารอก) ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชาวเมืองออสโลให้ความสำคัญกับโบสถ์แห่งนี้เป็นอย่างมากเนื่องจากสถานที่นี้เอง เป็นสถานที่จัดงานอภิเษกสมรส และ พิธีเคารพศพของเชื้อพระวงศ์ และ คนใหญ่โตของนอร์เวย์อยู่หลายครั้ง

ศาลาว่าการกรุงออสโล.jpg

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเมืองออสโลที่พลาดไม่ได้ได้แก่ Oslo City hall หรือ ศาลาว่าการกรุงออสโล ตั้งอยู่ริมขอบด้านตะวันออกของเมืองออสโล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมในรูปแบบ Functionalism ที่ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิครูปแบบใหม่ และสีอาคารสีอิฐแดงที่มองเห็นชัดเจนจากทางไกล ใน ส่วนของด้านในอาคารจะมีลักษณะเป็นห้องโถงกว้างขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยห้องต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องประชุม ห้องทำงานส่วนราชการ และ ห้องเก็บผลงานศิลปะ และ วัตถุโบราณที่มีค่าของเมืองออสโล และ อีกมากมาย จุดเด่นของ Oslo City Hall แห่งนี้ อยู่ที่ภายใน ที่มีการประดับตกแต่งอาคารด้วยภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ ผลงานจากศิลปินที่ชื่อว่า Henrik Sørensen โดยรูปนี้ ได้แสดงเนื้อหาถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิรูปสังคม การศึกษา สงคราม และประวัติศาสตร์ราชวงศ์นอร์เวย์นั่นเอง

ทะเลสาบ.jpg

สายธรรมชาติห้ามพลาด อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองออสโลที่ห้ามพลาดได้แก่ที่ ทะเลสาบ Sognsvann Lake ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดนัดพบของเหล่านักเรียน และ สมาชิกในครอบครัวของชาวออสโลก็ว่าได้ โดยสถานที่แห่งนี้ ไม่เพียงแต่วิวของทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่สามารถลงเล่นน้ำได้แล้ว สถานที่นี้ยังมีจุดให้ตั้งแคมป์ไฟเพื่อรับชมวิวพระอาทิตย์ตกดินอย่างสวยงามอีกด้วย

Opera House.jpg

เมื่อมาท่องเที่ยวที่ออสโล เมืองหลวงนอร์เวย์แล้ว จะไม่มาเยี่ยมชม Opera House หรือ ชาวออสโลเรียกกันว่า Operahuset ถือว่ามาไม่ถึงเมืองออสโลนะคะ เพราะสถานที่แห่งนี้เอง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์สำคัญของเมืองออสโลเลยทีเดียว  Oslo Opera House แห่งนี้ เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตโอเปร่า การแสดงบัลเลต์ และ ละครเวทีของประเทศนอร์เวย์มากมาย จนโรงโอเปร่าแห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็น โรงละครแห่งชาติของประเทศนอร์เวย์เลยทีเดียว

Oslofjord.jpg

Oslofjord ความยาวของฟยอร์ดที่ทอดตัวยากว่า 107 กม. ถือเป็นอัญมณีสำคัญ และ งดงามที่สุดของเมืองออสโลก็ว่าได้ โดยนักท่องเที่ยวจะนิยมนักเรือไปตามชายหาดของฟยอร์ดแห่งนี้ เพื่อชมความงดงามของธรรมชาติ บ้านไม้หลากสีสัน ภูเขาสูงสง่า พร้อมถ่ายภาพไปกับวิว[นเกาะตามทางที่งดงาม โดยในหน้าร้อนของทุกปี นักท่องเที่ยวจะนิยมเดินทางมาทำกิจกรรมทางน้ำท่ามกลางวิวฟยอร์ดอันสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นการโต้คลื่น พายเรือ หรือแม้แต่แค่ว่ายน้ำท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นในหน้าร้อนของออสโลนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หากเดินทางมาในหน้าหนาว ถ้าคุณกล้าพอที่จะว่ายน้ำท่ามกลางอุณหภูมิที่หนาวเย็นในหน้าหนาวของออสโลแล้วละก็ บริเวณรอบๆ ฟยอร์ด จะมีซาวน่าให้นักท่องเที่ยวได้เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย และ ผ่อนคลายอีกด้วย

เมืองเบอร์เกน.jpg

เมืองเบอร์เกน (Bergen)

เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากออสโล ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 9 เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ล้อมรอบไปด้วยขุนเขาอันยิ่งใหญ่ของ Seven Mountains (De syv fjell) และบ้านเมืองที่สวยงาม ไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือ Bryggen อาคารสีสันสดใสที่ตั้งอยู่ริมน้ำ โดยมี ภูเขา Mount Fløyen และ Mount Ulriken เป็นฉากหลัง นับเป็นมรดกโลกอันทรงคุณค่าที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุด มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เวิร์คช็อปศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ ใครที่อยากชมเมืองเบอร์เกนจากมุมสูง ก็สามารถนั่งกระเช้าเคเบิลคาร์ขึ้นไปบน ภูเขา Mount Ulriken ได้เลยค่ะ

Mount Ulriken.jpg

Mount Ulriken เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน 7 ภูเขาที่ล้อมรอบเมืองเบอร์เกน Mount Ulriken สูงจากระดับน้ำทะเล 643 เมตร และเป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งในการชมทิวทัศน์ทั่วเมืองเบอร์เกน แบบ 360 องศา มีเส้นทางเดินขึ้นไปบนยอดเขา Mount Ulriken ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 1.5 ชั่วโมง แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาหรือไม่อยากเดินเหนื่อย คุณสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้า (Ulriksbanen) ขึ้นไปบนยอดเขาได้เสมอ ตั๋วราคาประมาณ 700 บาท (เที่ยวเดียว) หรือ 1,300 บาท(ไป-กลับ) สำหรับผู้ใหญ่ และ 350 บาท(เที่ยวเดียว) และ 550 บาท (ไป-กลับ) สำหรับเด็ก และมีราคาส่วนลดสำหรับการขึ้นแบบกลุ่มหรือครอบครัวด้วย

Bryggen.jpg

Bryggen ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในเมืองเบอร์เกน ซึ่งประกอบด้วยอาคารมรดก Hanseatic จำนวนมากที่ใช้เป็นท่าเทียบเรือและท่าการค้าสำหรับเรือจากศตวรรษที่ 14 ถึงกลางศตวรรษที่ 16 ไฟไหม้หลายครั้งเกิดขึ้นใน Bryggen ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และอาคารจำนวนมากได้รับการซ่อมแซมและสร้างใหม่ในสไตล์มรดก Hanseatic ดั้งเดิม ปัจจุบัน ยังคงมีอาคารไม้ประมาณ 62 แห่ง ซึ่งประกอบกันเป็นเขตท่าเรือบรีกเกน  อาคารไม้ด้านหน้าอาคารจะมีสีสันสดใสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมโดยใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาทีจากใจกลางเมืองเบอร์เกน  และ Bryggen เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นหรือเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟหรือร้านอาหารริมท่าเรือ นอกจากนี้ยังมีแหล่งผลิตสินค้างานฝีมือและของฝากท้องถิ่นมากมาย  สำหรับ Bryggen อาจเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในเบอร์เกน ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองนี้และแวะมาชมความสวยงามของที่นี่

วิหารเบอร์เกน.jpg

วิหารเบอร์เกนเป็นโบสถ์ที่สวยงามในเมืองเบอร์เกน มีอายุเกือบ 900 ปี สร้างขึ้นในปี 1150 มหาวิหารเบอร์เกนสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับโอลาฟผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญอุปถัมภ์ของนอร์เวย์ มหาวิหารเบอร์เกนยังคงจัดงานในทุกวันอาทิตย์เวลา 11.00 น. โบสถ์แห่งนี้ไม่ได้เปิดให้ผู้มาเยี่ยมชมเข้าชมตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ความงามทางประวัติศาสตร์ของภายนอกยังคงทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คู่ควรแก่การมาเยี่ยมชมขณะอยู่ในเบอร์เกน วิหารเบอร์เกนตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง

Bergen Fish Market.jpg

Bergen Fish Market เป็นตลาดที่ขายอาหารทะเลแบบสดๆ ตั้งอยู่ริมน้ำของท่าเรืเบอร์เกน พร้อมวิวทะเลที่ตัดกับสีเมืองอาคารโดยรอบของท่าเรือ เป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ทำให้ตลาดปลาเบอร์เกนเป็นตลาดที่มีผู้คนนักท่องเที่ยวแวะมามากที่สุดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ เพื่อที่จะมาลิ้มลองรสชาติอาหารทะเลของที่นี่ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบ และสำหรับตลาดนี้สามารถแวะมาเที่ยวได้ในทุกฤดูกาล

Mount Fløyen.jpg

Mount Fløyen (เรียกอีกอย่างว่า Fløyfjellet) เป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับ 5 ในจำนวน 7 ภูเขาที่ล้อมรอบเมืองเบอร์เกน ยอดเขา Fløyen ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 400 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นภูเขาที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมชมความงามของที่นี่มากที่สุดแห่งหนึ่งใน Bergen ควบคู่ไปกับ Mt.Ulriken เนื่องจากมีทัศนียภาพอันงดงามทั้งเมืองและมองเห็นโดยรอบของคาบสมุทรเบอร์เกน บนยอดเขาฟลอยด์มีจุดชมวิวหลายแห่ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้าเล็กๆ ที่ขายขนมและของฝาก

Bergen Aquarium.jpg

Bergen Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเบอร์เกน (Akvariet i Bergen) เปิดทำการครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1960 พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเบอร์เกนตั้งอยู่บนคาบสมุทรนอร์ดเนสของเบอร์เกน ห่างจากใจกลางเมืองแบร์เกนประมาณ 1.5 กม. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเบอร์เกนมีสัตว์น้ำมากกว่า 300 สายพันธุ์ มีตู้สำหรับแสดงพันธุ์สัตว์น้ำกว่า 60 ตู้ และบ่อน้ำกลางแจ้ง 3 แห่ง นอกจากปลาแล้วพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีสัตว์น้ำ เช่น แมวน้ำ เพนกวิน ลิง และสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในหรือใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำด้วย

St John's Church.jpg

St John's Church (Johanneskirken) ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเบอร์เกนโดยใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาที โบสถ์นี้สามารถมองเห็นได้ง่ายเนื่องจากมีความสูงถึง 61 เมตร และอยู่บนเนินเขาซิดเนเชาเกน หน้ามหาวิทยาลัยเบอร์เกน สำหรับ St John's Church  สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2437 ในสไตล์ Gothic Revival สร้างจากอิฐสีแดง St John's Church รองรับได้ 1,250 คน และเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเบอร์เกน

3 Kroneren.jpg

3 Kroneren เป็นร้านขายไส้กรอกเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ย่านเมืองเก่าของเบอร์เกน เป็นร้านที่เราไม่อาจเดินผ่านไปได้เลย เนื่องจากมีเมนูไส้กรอกในหลายๆแบบ ให้เราได้เข้าไปลองลิ้มชิมรส ทางร้านจำหน่าย ฮอทด็อก ไส้กรอก และแฟรงค์เฟิร์ตหลากหลายชนิด เสิร์ฟในขนมปัง และโรยหน้าด้วยเครื่องปรุงรสที่คุณเลือกได้ เช่น พริก ซอสมะเขือเทศ มัสตาร์ด และกระเทียม ร้าน 3 Kroneren ทำไส้กรอกจากเนื้อสัตว์ทั่วไป เช่น หมู เนื้อวัว และเนื้อแกะ แต่ยังให้รสชาติแบบท้องถิ่นมากขึ้นด้วยไส้กรอกกวางเรนเดียร์ที่เราแนะนำเป็นอย่างยิ่งที่ควรลองดูสักครั้ง

Lille Øvregaten - Copy.jpg

Lille Øvregaten เป็นถนนที่สวยงามในย่านเมืองเก่าของเบอร์เกน เป็นถนนสายที่เก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งของเมือง บ้านไม้สีสันสดใสเรียงรายอยู่ตามข้างถนนแคบๆ ให้บรรยากาศที่มีเสน่ห์ ถนน Lille Øvregaten มีความยาวเพียง 200 เมตร โดยเริ่มจากด้านหน้ามหาวิหารเบอร์เกนและไปสิ้นสุดที่ Fløibanen ที่ฐานของภูเขา Fløyen ตัวถนนใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาที แต่เป็นสถานที่ที่สวยงามในการถ่ายภาพและทำให้เสมือนได้เดินทางย้อนเวลากลับในอดีตในขณะเยี่ยมชมเมืองเบอร์เกน

Lille Lungegardsvannet - Copy.jpg

Lille Lungegardsvannet เป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลางซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมือง Bergen ทะเลสาบเป็นรูปแปดเหลี่ยมและระยะทางรอบชายฝั่งประมาณ 700 เมตร มีการจัดสวนที่สวยงามและศาลาล้อมรอบเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการใช้เวลาเดินเล่นไปรอบ ๆ Lille Lungegardsvannet ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ที่ใช้สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต และตลาด สวนสาธารณะรอบ ๆ ทะเลสาบจะมีม้านั่งมากมายที่คุณสามารถหยุดพักเพื่อพักผ่อน และมีสนามหญ้าสำหรับปิกนิก Lille Lungegardsvannet จะมีหงส์และเป็ดในทะเลสาบและสวนที่มีภูมิทัศน์สวยงามมาก

เมืองหมู่บ้านฟรัม - Copy.jpg

เมืองหมู่บ้านฟรัม

การไปเที่ยวนอร์เวย์ ประสบการณ์หนึ่งที่ควรไปสัมผัสคือ การนั่งรถไฟชมวิวไปตามเมืองต่างๆ โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟสาย Flåm Railway ที่ผ่าน หมู่บ้านฟลัม (Flåm) หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาที่ลึกที่สุดในโลก แถมยังเป็นเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดในโลกด้วย ล้อมรอบไปด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน ทุ่งหญ้าเขียวขจี น้ำตก และ แม่น้ำฟลัม ตรงปลายสุดของ Aurlandsfjorden ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sognefjorden ฟยอร์ดที่ยาวที่สุดในนอร์เวย์ค่ะ บรรยากาศเงียบสงบ และวิวทิวทัศน์สุดอลังการ เหมือนได้มารีเฟรชปอดกับธรรมชาติบริสุทธิ์เลย

หมู่บ้าน Flam.jpg

หมู่บ้าน Flam ตั้งอยู่ในส่วนในสุดของฟยอร์ดปากแม่น้ำฟลอม (Aurlandsfjord) ด้านหน้าเป็นเวิ้งน้ำในฟยอร์ดใสสะอาด โอบล้อมไปด้วยหุบเขา Flamsdalen Valley สูงใหญ่ เสน่ห์ที่เตะตาคืออาคารบ้านไม้สไตล์สแกนดิเนเวีย สีสันสดใส ตั้งเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ Flåmselvi ที่ไหลผ่าน และอย่าลืมแวะชม Flåmsbana Museet พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เก็บรักษาหัวจักรรถไฟ และยานพาหนะโบราณเอาไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ บอกเล่าเรื่องราวของรถไฟสาย Flåmsbana

Aurlandsvangen.jpg

ห่างออกไปจากฟลอมประมาณ 9 กม. มีหมู่บ้านริมน้ำบนฝั่งตะวันออกของ Aurlandsfjord ส่วนหนึ่งของ Sognefjord ฟยอร์ดที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ มีลักษณะเป็นแหลมบริเวณปากแม่น้ำ Aurlandselvi ที่ไหลลงสู่ฟยอร์ด ด้านหลังเป็นที่ตั้งของเทือกเขา Aurlandsvangen ไฮไลท์คือ “Stegastein Viewpoint” จุดชมวิวสะพานหินกลางอากาศบนยอดเขาที่สามารถชมวิวฟยอร์ด ธารน้ำแข็งสุดตระการตาและน่าหวาดเสียวไปพร้อม ๆ กัน

Undredal.jpg

Undredal สาวกดิสนีย์ต้องห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวฟลอม อีกหนึ่งชุมชนชาวประมงสุดน่ารัก ที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าฝั่งตะวันตกของฟยอร์ด Aurlandsfjord ห่างจากฟลอมประมาณ 15 กม. เป็นหมู่บ้านที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่แค่ 100 คนกับแพะอีก 500 ตัวเท่านั้น เป็นหมู่บ้านที่สร้างแรงบันดาลใจให่กับเมืองในแอนิเมชั่นเรื่อง “Frozen” อุนดรีดัล ยังขึ้นชื่อเรื่องการทำชีสนมแพะ (Brunost) รวมถึงเป็นแหล่งผลิตไส้กรอกเนื้อแพะชั้นเลิศระดับโลกอีกด้วย

Gudvangen.jpg

เมืองเล็กริมฟยอร์ด Naeroyfjord ที่เปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องของฟลอม มีขุนเขาฟยอร์ดสูงใหญ่เป็นฉากหลังและน้ำตก Kjosfossen อยู่ใกล้ ๆ โดดเด่นที่การรักษากลิ่นอายของวัฒนธรรมไวกิ้งโบราณอันเลื่องชื่อไว้เป็นอย่างดี มาเที่ยวฟลอมแล้วก็อย่าลืมแวะมาที่ Gudvangen

524.jpg

Njardarheimr หมู่บ้านดั้งเดิมของชาวไวกิ้งที่ทรงเสน่ห์ ตั้งอยู่ในเขตเมือง Gudvangen ที่จะพาย้อนอดีตกลับไปสู่ยุครุ่งเรืองของนักรบไวกิ้งเมื่อพันปีกว่าก่อน เป็นหมู่บ้านที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมอันเกรียงไกรเอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งรูปแบบบ้านเรือน สำเนียงภาษาที่มีเอกลักษณ์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดต่อกันมา จนถูกยกให้เป็น The Unique UNESCO Listed ที่ควรค่าแก่การไปเยือน

Aurlandsfjorden.jpg

กิจกรรมยอดฮิตในฟลอมคือ การล่องเรือสำราญเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติสุดอลังการไปตามแนวฟยอร์ด Aurlandsfjorden ไปจนถึง Naeroyfjord โดยระหว่างทางเรือจะจอดแวะให้ถ่ายรูปเช็คอินตามหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมน้ำ ชมธรรมชาติสุดอลังการของฟลอม ฟยอร์ดปากแม่น้ำฟลอมที่แยกออกมาจาก Sognefjord มีความยาวกว่า 17 กม. ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 หมู่บ้าน Undredal, Aurlandsvangen และ Flam ห้อมล้อมไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของหุบเขา Flåmsdalen และ Aurlandsvangen ตลอดสองข้างทาง

The Naeroyfjord.jpg

The Naeroyfjord ฟยอร์ดสวยมรดกโลกที่แยกตัวออกมาจาก Sognefjord ตั้งอยู่อีกฟากทางฝั่งตะวันตกของฟยอร์ดปากแม่น้ำฟลอม มีความยาวราว 20 กม. และแคบที่สุดในยุโรปเพียง 250 ม. ถูกยกให้เป็นฟยอร์ดที่สวยงามที่สุดน่ามาชมมากที่สุดในนอร์เวย์ แวดล้อมด้วยขุนเขาสูงราว 1,660 ม. ะมีเมืองท่าที่สำคัญอย่าง Gudvangen เป็นจุดแลนด์มาร์คที่โด่งดัง

AEgir Brew Pub.jpg

ทริปเที่ยวฟลอมจะสมบูรณ์ได้ก็ต้องมีอาหารอร่อยๆให้ได้ลิ้มลอง ที่ AEgir Brew Pub ร้านอาหารและบาร์เบียร์คราฟท์ แหล่งแฮงค์เอ้าท์ของชาวโฟลมและนักท่องเที่ยวในยามค่ำคืน บรรยากาศคึกคักเป็นกันเอง นั่งชิลรับฟังดนตรีสดยาวไปตลอดทั้งคืน เมนูแนะนำคือ AEgir Viking Plank ที่ประกอบด้วย 5 Course Viking Menu เสิร์ฟพร้อมเบียร์สดรสนุ่มลิ้น

โบสถ์ไม้อูร์เนส (Urnes Stave Church).jpg

โบสถ์ไม้อูร์เนส (Urnes Stave Church) เป็นโบสถ์ไม้โบราณ สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 12 ด้วยสถาปัตยกรรมสแกนดิเนเวียร์แบบดั้งเดิม เป็นการผสมผสานศิลปะแบบเซลติก (Celtic Art) ไวกิ้ง (Viking Traditions) และโครงสร้างของโรมานเนสก์ (Romanesque) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของ Sognefjord ด้วยทัศนียภาพที่งดงาม และสภาพของโบสถ์ที่มีความสมบูรณ์จึงทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1979 ค่ะ

ไกแรงเกอร์ฟยอร์ด.jpg

ล่องเรือบนแม่น้ำผ่านวิวสุดอลังการของ ไกแรงเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนอร์เวย์ เกิดจากธารน้ำแข็งที่ละลายจนกลายเป็นแม้น้ำสายยาว 15 กิโลเมตร ท่ามกลางหุบเขาสูง 1,000 เมตร ตรงบริเวณหนึ่งของฟยอร์ดเป็นที่ตั้งของ น้ำตก Seven Sisters Waterfalls น้ำที่สวยที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูง 250 เมตร เรียกว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในไกแรงเกอร์ฟยอร์ดเลยทีเดียว

Geiranger Skywalk-Dalsnibba.jpg

ขับรถขึ้นไปชมวิวไกแรงเกอร์ฟยอร์ดจากมุมสูงที่ Geiranger Skywalk-Dalsnibba จุดชมวิวฟยอร์ดที่สูงที่สุดในยุโรป ด้วยระดับความสูงถึง 1,500 เมตร ตรงจุดชมวิวจะมีที่จอดรถบริการด้วย ได้ชมวิวสวยๆ แบบเต็มอิ่มไปเลย แถมในฟยอร์ดยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น พายเรือคายัค เรือแคนู ล่องแพ ตกปลา และสกีหิมะในช่วงฤดูหนาว รับรองว่าถูกใจสายเที่ยวธรรมชาติแน่ๆ

โทรลส์ทุงกา.jpg

พิชิดผาสุดหวาดเสียวของนอร์เวย์ที่ โทรลส์ทุงกา (Trolltunga) หรือ Troll's Tongue ที่แปลว่า "ลิ้นของโทรลล์" ตามลักษณะของหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผาคล้ายกับลิ้นขนาดใหญ่ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,100 เมตร ถ้าตัดเรื่องความหวาดเสียวออกไปแล้ว โทรลล์ทุงกานับเป็นจุดชมวิวฟยอร์ดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งค่ะ เห็นวิวของ ทะเลสาบ Ringedalsvatnet ได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมไปถ่ายรูปริมผาท้าทายความสูง เพราะวิวเบื้องหน้านั้นอลังการมากจริงๆ

หมู่เกาะโลโฟเทน.jpg

เอาใจนักล่าแสงเหนือกันบ้าง หมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten Islands) เป็นหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงเหนือของนอร์เวย์ ที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่และหมู่บ้านชาวประมงสีแดง หรือที่เรียกว่า Rorbuer สัญลักษณ์ของโลโฟเทน เช่น หมู่บ้านไรเนอ (Reine), หมู่บ้านออ (Å Village), หมู่บ้านซากริซอย (Sakrisøy) และ หมู่บ้านฮัมนอย (Hamnøy) ซึ่งหมู้บ้านไรเนอนั้น ได้รับการยกย่องให้เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะทิวทัศน์ของเทือกเขาขนาดใหญ่และผืนน้ำที่ล้อมรอบหมู่บ้านเอาไว้ แถมยังเป็นจุดชมแสงเหนือที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ด้วย พลาดไปคงเสียดายแย่เลย

เมืองทรอมโซ.jpg

เมืองทรอมโซ

ถ้าอยากชมแสงเหนือ ยังไงก็ต้องไปที่ ทรอมโซ (Tromso) เมืองที่ตั้งอยู่ตรงทางเหนือของ Arctic Circle ขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพอันน่าอัศจรรย์ใจของแสงเหนือ และอาทิตย์เที่ยงคืนค่ะ เดิมทรอมโซเริ่มจากการเป็นหมู่บ้านชาวประมงในช่วงศตวรรษที่ 13 การจะมีการขยายเศรษฐกิจให้เป็นเมืองขนาดใหญ่ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะอนุรักษ์อาคารบ้านสไตล์ดั้งเดิมเอาไว้  บ้านเรือนมีสีสันสดใส ตัดกับต้นไม้สีเขียวขจี และหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมาในช่วงฤดูหนาว

พิพิธภัณฑ์ขั้วโลก(.jpg

พิพิธภัณฑ์ขั้วโลก(Polar Museum) สถานที่แรกที่ควรมาเยือน และมีชื่อเสียงที่สุดในทรอมโซ เป็นอาคารไม่สีแดง คล้ายโกดังเก็บของ ใกล้ๆ ท่าเรือ เป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1830 แล้ว ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภูมิภาค การสำรวจขั้วโลก รวมไปถึงพื้นที่ในแถบอาร์กติก นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงเกี่ยวกับการล่าสัตว์ในเขตอาร์กติก ซึ่งได้แก่ ปลาวาฬ หมีขั้วโลก และสิงโตทะเล ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย

มหาวิหารอาร์กติก.jpg

มหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นสถานที่อันโดดเด่น ที่นักท่องเที่ยวต้องมากันให้ได้ เพราะเป็นวิหารที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีโครงสร้างและรูปทรงแปลกตา แรงบันดาลใจจากภูมิทัศน์ภาคเหนือของนอร์เวย์ ที่นี่มีชื่อเสียงมากในทรอมโซ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1965 และยังเป็นสถานที่ที่ชมความงดงามของพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ด้วย

มหาวิหารทรอมโซ.jpg

มหาวิหารทรอมโซ (Tromso Cathedral) เดินมาอีกหน่อย จะเจอกับมหาวิหารนี้ ซึ่งเป็นวิหารไม้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองทรอมโซ และมีความเก่าแก่ที่สุด ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1861 ในแบบสไตล์กอธิคที่งดงาม และยังเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดของนอร์เวย์อีกด้วย เนื่องจากอยู่ใจกลางเมือง สามารถมาเที่ยวถ่ายรูปได้ง่ายมากๆ

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโพลาเรีย.jpg

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโพลาเรีย (Polaria Aquarium) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในเขตขั้วโลกเหนือ สร้างขึ้นในช่วงปี 1998 ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะแมวน้ำ และมีปลา สัตว์ทะเล หลากหลายสายพันธุ์ รวมอยู่ที่นี่ รวมถึงยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการสำรวจขั้วโลก การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์น้ำ และอีกมากมายเมื่อได้เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

กระเช้าชมวิว.jpg

กระเช้าชมวิว (Fjellheisen Cable Car) ถัดจากโบสถ์มานิดหน่อย จะเป็นจุดชมวิวเมืองบนภูเขา Storsteinen Mountain ที่สูง 1,380 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้เห็นวิวเมืองทั้งเมืองได้แบบ 360 องศา มองมุมสูงแล้ว สวยงามตระการตาสุดๆ  กระเช้าชมวิวเปิดให้บริการตลอดปี ไม่หยุดวันอาทิตย์ และช่วงฤดูร้อนยังเปิดบริการถึงตี 1 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมบรรยากาศพระอาทิตย์เที่ยงคืนอีกด้วย

สวนพฤกษศาสตร์.jpg

สวนพฤกษศาสตร์ (Arctic-Alpine Tromsø) สวนรวมดอกไม้ ต้นไม้นานาชนิด ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สามารถเข้ามาชมได้ทุกฤดู แม้ว่าจะมีหิมะ แต่ก็มีดอกไม้เมืองหนาวให้ได้ชื่นชม เต็มไปด้วยบรรยากาศของธรรมชาติ ซึ่งหาชมได้ยาก ถ่ายรูปสวยได้ทุกมุมของสวนพฤกษศาสตร์เลย

ห้องสมุดประจำเมือง.jpg

ห้องสมุดประจำเมือง (Tromso Library and City Archive) หนอนหนังสือจะต้องชอบที่นี่มาก เพราะเป็นห้องห้องสมุดประจำเมืองที่โอ่อ่า สวยงาม คนที่นี่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์นิยมพากันมาอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา เด็ก หรือครอบครัว โดยห้องสมุดประจำเมืองนี้จะอยู่ติดกับถนนสายช้อปปิ้ง แถมการออกแบบตกแต่งภายนอกอาคารยังสวยงามมีเอกลักษณ์ตามสไตล์ Norwegian ด้วย

ภูเขาใหญ่ในทรอมโซ.jpg

ภูเขาใหญ่ในทรอมโซ (Storsteinen) ภูเขาขนาดใหญ่แห่งนี้ ใช้เป็นจุดชมวิวของเมืองทรอมโซ สามารถขึ้นมาชมเมืองสวยๆ บนยอดเขานี้ หรือจะนั่งกระเช้า เพื่อชมเมืองในมุมสูงก็ได้ จัดได้ว่าการมาบนภูเขาแห่งนี้ มีวิวทิวทัศน์ที่ดีที่สุดมากเลยทีเดียว ยิ่งช่วงหน้าหนาวที่หิมะปกคลุมแล้ว จะเห็นเมืองจากภูเขาแห่งนี้แบบขาวโพรนสวยงาม

ท่าเรือทรอมโซ.jpg

ท่าเรือทรอมโซ (Tromso harbor) ท่าเรือขนาดใหญ่ของเมือง ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 13 และยังเป็นท่าเรือประมงที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่ง รวมทั้งยังมีสถานที่รอบๆ ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของแสงเหนือ ที่มีชื่อเสียงของประเทศนอร์เวย์ และยังรอสัมผัสดวงอาทิตย์เที่ยงคืนได้จากท่าเรือแห่งนี้ด้วย

ล่าแสงเหนือที่ทรอมโซ (Aurora Tromso).jpg

ล่าแสงเหนือที่ทรอมโซ (Aurora Tromso) มาถึงทรอมโซแล้ว ก็ต้องไม่ผิดหวังที่จะได้เห็นแสงเหนือจากเมืองนี้ หากใครคิดจะดูแสงเหนือที่นอร์เวย์ เมืองนี้คือเมืองแรกๆ เลยที่จะได้ชมแสงเหนือแบบใกล้ชิด มีการเดินทางคมนาคมภายในเมืองที่สะดวก อาหารที่พักราคาไม่แพงมาก นอกจากนี้ยังมีบรรยากาศดี ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ที่สำคัญยังสามารถมองเห็นแสงเหนือได้ที่นี่ รับรองว่าต้องประทับใจและมีความสุขสุดๆ จากการได้ดูแสงเหนือที่ทรอมโซ

น้ำตกฟอสเซ่น.jpg

น้ำตกฟอสเซ่น (Latefossen Waterfall , Låtefossen) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับเขตเมือง Skare และ Odda ไหลลงมาจากผาสูง 165 เมตร แยกเป็น 2 สาย และไหลลงสู่ ทะเลสาบ Lotevatnet โดยมีสะพานทอดยาวตัดผ่านน้ำตกและภูเขา ช่วงเวลาไฮไลท์ในการไปชมน้ำตกฟอสเซ่นคือ ช่วงต้นฤดูร้อน ค่ะ จะเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุด และได้ชมวิวน้ำตกกระทบกับแสงแดดอันอบอุ่นในช่วงกลางวันแบบเต็มอิ่มเลย

ถนนแอตแลนติก.jpg

สาย road trip ต้องไม่พลาดไปขับรถบน ถนนแอตแลนติก (The Atlantic Road) ถนนสายยาวที่เชื่อมต่อระหว่าง เมืองคริสเตียนซุนด์ (Kristiansund) และ เมืองโมลเด (Molde) ในระยะ 8.3 กิโลเมตร ระหว่างทางเราจะได้พบกับวิวทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจของมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะน้อยใหญ่มากมาย ที่น่าตื่นเต้นสุดๆ คือ เราจะได้ขับผ่านสะพานโค้งรวมทั้งหมด 8 จุดด้วยกัน ใครที่ชอบความลุ้นระทึกล่ะก็ ต้องไปลองขับรถบนถนนเส้นนี้ดูค่ะ

สตูว์เนื้อแกะ กะหล่ำปลี.jpg

 Fårikål : สตูว์เนื้อแกะ กะหล่ำปลี  ขอเริ่มอาหารนอร์เวย์เมนูแรกกันที่อาหารนอร์เวย์ประจำชาติ (Norwegian National Dish) อย่างเมนู “Fårikål” หรือ เมนูสตูว์เนื้อแกะกะหล่ำปลี ซึ่งอาหารจานนี้ เรียกได้ว่า รวมเอาวัตถุดิบหลักของประเทศนอร์เวย์มาไว้ในจานเดียว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแกะ กะหล่ำปลี และ มันฝรั่ง นอกจากวัตถุดิบที่มีไม่กี่อย่างแล้ว กรรมวิธีการทำการเรียบง่าย โดยการนำเอา เนื้อแกะ มันฝรั่ง และ กะหล่ำปลี มาเคี้ยวด้วยไฟอ่อน และ ปรุงรสด้วยพริกไทยดำ และ ซอส lingonberry

ขนมพื้นบ้านนอร์เวย์.jpg

Lefse : ขนมพื้นบ้านนอร์เวย์  อาหารประจำชาตินอร์เวย์ ที่เรียกได้ว่า เป็นอาหารทานเล่นประจำบ้านทุกหลังก็ว่าได้ หนีไม่พ้น “Lefse” หรือ ขนมปังเรียบแบน (Flatbread) มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Tortilla (ตอร์ติยา) จากทางฝั่งเม็กซิโก ซึ่งลักษณะเด่นของอาหารนอร์เวย์จานนี้ คือ ความเหนียวนุ่มของแป้ง ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีสูตรการทำที่แตกต่างกันไป

แซลมอนรมควัน.jpg

Smoked Salmon (Rokt Las) : แซลมอนรมควัน อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าประเทศนอร์เวย์ เป็นดินแดนแห่งปลาแซลมอนแอตแลนติก อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ส่งออกแซลมอนเป็นอันดับหนึ่งของโลก และ ในแถบสแกนดิเนเวีย แตกต่างจากที่อื่น แซลมอนจากประเทศนอร์เวย์ จะมีตัวอ้วน และ มีไขมันสูงกว่าที่อื่นถึง 18 % ทำให้การนำเนื้อแซลมอนนอร์เวย์มารมควันจึงได้รสชาติที่หอมหวานกว่าที่อื่นๆ

บราวชีส นอร์เวย์.jpg

Brunost : บราวชีส นอร์เวย์ อาหารนอร์เวย์ในช่วงเช้า มีลักษณะคล้ายกับอาหารเช้าของประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรป แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่น ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยว และ ผู้ชิมอาหารทั่วโลกนั้น ได้แก่ ชีสสีน้ำตาลก้อนโตที่มักจะวางไว้กลางโต๊ะอาหาร ซึ่งชีสสีน้ำตาลดังกล่าวมีชื่อว่า “Brunost” ชีสที่มีต้นกำเนิดจากประเทศนอร์เวย์ และ หาทานได้แต่ที่นอร์เวย์เท่านั้น

ปลาวุ้น อาหารพื้นเมืองนอร์เวย์.jpg

Lutefisk: ปลาวุ้น อาหารพื้นเมืองนอร์เวย์ อีกหนึ่งอาหารนอร์เวย์ยอดนิยม ที่เป็นอาหารประจำชาตินอร์เวย์นั้น คือ เมนู Lutefisk ซึ่งเป็นเมนูอาหารทะเลที่มีวัตถุดิบเป็นปลาคอดแอตแลนติก (Cod Fish) หรือ ที่ชาวนอร์เวย์เรียกกันว่า tørrfisk ซึ่งเป็นวัตถุดิบส่งออกอันดับต้นๆ ของนอร์เวย์ พอๆ กับแซลมอนนั่นเอง

ลูกชิ้นปลานอร์เวย์.jpg

 Fiskeboller : ลูกชิ้นปลานอร์เวย์ Fiskeboller เป็นเมนูอาหารนอร์เวย์ที่หารับประทานได้ง่ายตามภูมิภาคต่างๆ ที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเมนูนี้ ถ้าจะให้พูดให้เห็นภาพชัดเจนนั้น คือ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับลูกชิ้นปลา (Fish Ball) และ ทำมาจากปลานั่นเอง ในส่วนของรสชาตินั้น จะค่อนข้างจืด ไม่จัดจ้าน และมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนในปาก โดยอาหารนอร์เวย์ Fiskeboller นี้ สามารถนำมาใส่ในน้ำซุป หรือ สตูว์ได้ อย่าวไรก็ตาม คนนอร์เวย์นิยมรับประทาน Fiskeboller ควบคู่กับซอสสีขาวที่ชื่อว่า Hvit saus  หรือ ซอส Béchamel ที่ทำมาจากเนยสด แป้งสาลี และ นมนั่นเอง

เนื้อปั้นราดซอสสีน้ำตาล.jpg

Kjøttboller / Kjøttkaker : เนื้อปั้นราดซอสสีน้ำตาล อีกหนึ่งเมนูอาหารนอร์เวย์ ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงอาหารประเทศอื่น แต่มีองค์ประกอบเล็กน้อยที่ทำให้จานนี้น่าดึงดูด และ กลายเป็นอาหารนอร์เวย์ขึ้นชื่อนั้น ได้แก่ เมนู Kjøttboller /Kjøttkaker หรือที่เรียกง่ายๆ ว่านอร์เวย์มีตบอล ซึ่งหน้าตาของมันมีความคล้ายคลึงกับมีตบอลของประเทศสวีเดนเป็นอย่างยิ่ง ตามกันที่อาหารนอร์เวย์จานนี้จะมีขนาดมีตบอลที่ใหญ่กว่ามาก

สตูว์กวางเรนเดียร์.jpg

Finnbiff : สตูว์กวางเรนเดียร์ อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าวัตถุดิบประกอบอาหารนอร์เวย์ส่วนมากนั้น จะเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ป่า และ เนื้อปลาทะเลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมนู Finnbiff เป็นตัวอย่างอาหารประจำชาตินอร์เวย์ที่ใช้ส่วนผสมหลักเป็นเนื้อกวางเรนเดียร์ นิยมรับประทานอย่างแพร่หลายในเขตนอร์เวย์ตอนเหนือ ทั้งนี้เนื่องจากทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ปกคลุมไปด้วยหิมะ และ มีสัตว์ภูเขาอาศัยอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น หมี หมาป่า และ กวางเรนเดียร์

ขนมวอฟเฟิลนอร์เวย์.jpg

 Vafler : ขนมวอฟเฟิลนอร์เวย์ ขนม Vafler หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อขนม Wafler (วอฟเฟิล) นั้น เป็นอาหารประจำชาตินอร์เวย์ และ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศนอร์เวย์ อย่างไรก็ตาม แตกต่างจากวอฟเฟิลที่อื่น วอฟเฟิลของประเทศนอร์เวย์ จะมีรูปทรงเป็นรูปหัวใจ มีขนาดบาง และ นุ่มกว่ามาก วอฟเฟิลของทางฝั่งประเทศอเมริกา และ เบลเยียม นอกจากนี้คอนนอร์เวย์นิยมรับประทาน Vafler ระหว่างวัน เป็นเมนูอาหารนอร์เวย์จานหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งท็อปปิ้งหวาน อย่าง วิปครีม แยมผลไม้ ซาวด์ครีม brunost หรือ ชีสหวาน หรือ จะรับประทานกับท็อปปิ้งคาว เช่น ไส้กรอก หรือ บลูชีสก็ได้เช่นกัน

เหล้าอะควอวิท.jpg

Aquavit: เหล้าอะควอวิท ปิดท้ายกันด้วยอาหารประจำชาตินอร์เวย์ ที่มาในรูปแบบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหล้าอะควอวิท (Aquavit) หรือ น้ำแห่งชีวิต (Water of Life)  Aquavit เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สกัดจากสมุนไพรหลากหลายชนิด เช่น พฤกษศาสตร์ ผักชีลาว และ ยี่หร่า โดยมีเครื่องเทศ และ สมุนไพรเพิ่มเติมเพื่อความเผ็ดร้อนนิดหน่อย โดย Aquavit นิยมดื่มกันอย่างแพร่หลายในแถบสแกนดิเนเวีย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศสวีเดน เดนมาร์ก และ ที่พลาดไม่ได้เลยนั้นคือที่นอร์เวย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ว่านี้ ซึ่งชาวนอร์เวย์เริ่มดื่มเหล้า Aquavit กันมาอย่างยาวนาน เริ่มตั้งแต่ ค.ศ 1500 นิยมรับประทานควบคู่กับ Smoked Salmon หรือ  Rokt Las นั่นเอง

Lillemarkens Shopping.png

สิ่งที่ต้องช้อปเมื่อมานอร์เวย์

เสื้อไหมพรม

 

ก็เพราะว่านอร์เวย์เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือ ทำให้มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี จนเราที่อยู่เมืองไทยเมืองร้อน อาจจะจินตนาการไม่ได้ว่าเมื่อถึงช่วงที่อุณหภูมิติดลบจะหนาวสักแค่ไหน นั่นจึงเป็นที่มากับของน่าซื้อจากนอร์เวย์ที่เราอยากแนะนำให้คุณช้อปติดมือกลับมา เมื่อไป ทัวร์สแกนดิเนเวีย ที่นอร์เวย์ นั่นก็คือ เสื้อไหมพรม ส่วนใหญ่จะมีขายตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไป แม้ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ก็ทำจากวัสดุดีมีคุณภาพ และมักจะเป็นงานแฮนด์เมดถักด้วยมือ รับรองว่าใส่แล้วอุ่นแน่นอน เลือกซื้อเป็นลายธงชาตินอร์เวย์ หรือลายที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของที่นี่ เอามาใส่เที่ยวเมืองนอกเก๋ๆ ตัวนึงใช้ได้นานแน่นอนค่ะ

ตุ๊กตาโทรล์.jpg

ตุ๊กตาโทรล์

 

ของฝากนอร์เวย์ ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างมาก นั่นคือ ตุ๊กตาโทรล์ ยักษ์จากนิทานปรัมปราพื้นเมือง แม้หน้าตาเจ้าโทรล์อาจจะไม่น่าพิศมัยเท่าใดนัก (ตาโต จมูกยาว แลดูน่ากลัวมากกว่าน่ารัก) แต่ก็ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ที่ทำให้เมื่อเห็นตัวโทรล์ปุ๊บก็รู้แล้วว่าต้องเกี่ยวกับนอร์เวย์แน่นอน คุณสามารถพบเจอตัวโทรล์ได้ทั่วนอร์เวย์ และสามารถหาซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ไม่ยาก

ชุดประจำชาติ.jpg

 ชุดประจำชาติ ด้วยความที่ ชุดประจำชาติของนอร์เวย์ มีความคันทรี่และเป็นเอกลักษณ์ ผู้หญิงใส่แล้วน่ารัก ส่วนผู้ชายใส่ก็ดูเท่ ชุดที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ จะเป็นชุดประจำชาติที่เน้นสีแดง ขาว และดำ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดของชุดที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาค ใส่ออกมาแล้วน่ารักอย่างที่นางเอกสาว ญาญ่า อุรัสยา ลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ กำลังสวมอยู่เลย ใครที่อยากได้ของที่ระลึกแบบนอร์เวย์จ๋าๆ ก็เลือกซื้อเป็นชุดประจำชาติก็ชิคๆ ไม่เบานะคะ

ของที่ระลึกรูปชาวไวกิ้ง.jpg

ของที่ระลึกรูปชาวไวกิ้ง

ไวกิ้ง หนึ่งในตำนานสำคัญของนอร์เวย์ ที่เชื่อกันและมีหลักฐานว่า ในดินแดนทางตอนเหนือแห่งนี้มีชาวไวกิ้งที่เริ่มแรกก็เป็นชาวประมงทั่วไป หากแต่ด้วยจำนวนประชากรทางตอนเหนือของสแกนดิเนเวียที่เพิ่มขึ้น ก็จำต้องออกค้าขายทางเรือ แต่ก็มีการปล้นกลางทะเลเกิดขึ้น กลายเป็นที่เล่าขานถึงชาวไวกิ้งที่ดูจะออกแนวโหดๆ ไปนิดนึง จะเห็นว่าสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาคือ เรือ ชาวไวกิ้งมีความสามารถในการต่อเรือไม้ที่แข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน คุณสามารถไปเดินดูในพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งที่นอร์เวย์ได้ และเมื่อมาถึงถิ่นก็ต้องจัดของฝากนอร์เวย์ที่เป็นรูปเกี่ยวกับเรือและชาวไวกิ้งเก็บไปเป็นที่ระลึกสักหน่อย จะใช้เองหรือซื้อฝาก ก็ดีทั้งนั้น

 

ปลากระป๋อง.png

ปลากระป๋อง

 

มากันที่ของกินบ้าง สุดยอด ของฝากนอร์เวย์ ที่ร้อยทั้งร้อยต้องซื้อติดกลับมาหม่ำที่เมืองไทยต่อ จดเก็บไว้ในลิสต์ได้เลยกับ ปลากระป๋อง เพราะเจ้าสิ่งนี้ถือเป็นสินค้าหลักที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับนอร์เวย์มาช้านาน ด้วยคุณภาพปลาสดใหม่ และมีกรรมวิธีผลิตที่มีมาตรฐานสากล ทำให้คุณหิ้วกลับมาอร่อยที่เมืองไทยได้สบายๆ แกะทานอร่อย ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำซอสมะเขือเทศ ไม่เหม็นคาว สำหรับสิ่งนี้ซื้อกลับมาเถอะ รับรองไม่ผิดหวัง

แยม.jpg

แยม

ยังอยู่กันที่ของกิน สำหรับ แยม ก็เป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างที่คนมักซื้อเป็นของฝากนอร์เวย์ ด้วยความฉ่ำเนื้อของผลไม้ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ ทำให้รสชาติเป็นธรรมชาติ หวานแบบไม่ต้องเจือสารเคมี และที่นี่ยังมีแยมต่างรสในแต่ละเมืองด้วย ก็ถือเป็นของฝากเก๋ๆ ที่ลิ้มลองเมื่อไหร่ก็ทำให้นึกถึงนอร์เวย์

บราวน์ชีส.jpg

บราวน์ชีส

 

คนชอบชีสมานอร์เวย์ต้องได้ชิม บราวน์ชีส (Brown Cheese) ชีสนมแพะสีน้ำตาลที่มีรสชาติเข้มข้น หอม ติดหวานคาราเมล สีนวลน่าทานมากๆ ทานกับแครกเกอร์หรือขนมปังก็อร่อย เป็นอาหารที่มีเฉพาะประเทศในแถบสแกนดิเนเวียเท่านั้น ใครมา ทัวร์แสกนดิเนเวีย ก็อย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือกลับไปให้คนที่บ้านชิมนะคะ ว่ากันว่าของกินตระกูลชีส ถ้ามาจากนอร์เวย์ล่ะก็ เชื่อมือได้ว่าอร่อย หอม มัน แน่นอน!

ไส้กรอกกวางเรนเดียร์.jpg

 ไส้กรอกกวางเรนเดียร์

 

หลายคนอาจชะงักไปนิดนึงเมื่อพูดถึงของฝากนอร์เวย์ชิ้นนี้ แต่ว่าเพราะที่นี่มีประชากรกวางเรนเดียร์จำนวนมาก ทำให้เกิดการนำ เนื้อกวาง มาแปรรูปเป็นอาหาร แถมยังเป็นอาหารที่ขึ้นชื่ออีกด้วย ใครมีโอกาสไปเที่ยวนอร์เวย์ก็ลองซื้อมาชิม รสชาติแบบที่ชาวนอร์เวย์ทานกันดูนะคะ อาจจะแปลกหน่อย แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ในการชิมอาหารต่างถิ่นค่ะ

ช็อกโกแลตยี่ห้อ Freia.jpg

ช็อกโกแลตยี่ห้อ Freia

 

Freia ช็อกโกแลตแบรนด์ดังของนอร์เวย์ ที่อยู่คู่ชาวนอร์เวย์มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1889 โดยบริษัทนี้มีการผลิตช็อกโกแลตออกมาในหลายรูปแบบ ที่โด่งดังจะเป็น ช็อกโกแลตบาร์ Kvikk Lunsj (คล้ายๆ คิทแคท), ช็อกโกแลตนม รสชาติเค็มนิดๆ อร่อยลงตัว นัวในรสชาติ กินเพลินแบบยั้งมือไม่อยู่ ซื้อกลับมาเมืองไทยสัก 3-4 แพ็คก็ยังไม่พอ ลองชิมดูแล้วจะรู้ว่าทำไม Freia Chocolate ถึงยังคงได้รับความนิยมจากคนนอร์เวย์เอง รวมถึงนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลานาน

bottom of page